เดินทางด้วยสายการบิน ไทยแอร์เอเชียร์ มีบินทุกวัน
เดินทางด้วยเครื่องบิน คนไทยไม่ ต้องทำวีซ่า ครับ อยู่ได้ 28 วัน
ตลาดท่องเที่ยวและการเดินทางในประเทศเมียนมา เติบโตตามการพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้กรุงย่างกุ้ง จะมีอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ที่พร้อมให้บริการวันเสาร์นี้ และยังมีอีกสนามบินที่กำลังจะก่อสร้างในเมืองพะโค เพื่อรองรับอนาคต ชาวต่างชาติเดินทางมาเมียนมา ทะลุ 12.5 ล้านคน
รายงานจากหนังสือพิมพ์เมียนมา ไทมส์ เผยว่า อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศแห่งใหม่ในสนามบินย่างกุ้ง แล้วเสร็จสมบูรณ์ มีกำหนดเปิดให้บริการในสัปดาห์นี้ โดยอาคารหลังใหม่ เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จะช่วยบรรเทาความแออัดให้กับสนามบินหลักของนครย่างกุ้ง
ทั้งนี้ เมื่อเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ อาคารผู้โดยสารแห่งใหม่นี้ จะสามารถรองรับผู้โดยสารกว่า 6 ล้านคนต่อปี มากกว่าปัจจุบันที่รองรับได้ 2.7 ล้านคนต่อปี
ข้อมูลจากการเปิดเผยของบริษัท เอเชีย เวิลด์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของไพโอเนียร์ แอโรโดม เซอร์วิสเซส ที่ก่อสร้างอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ ระบุว่าอาคารแห่งใหม่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการได้ในวันเสาร์ที่ 12 มี.ค.นี้ โดยแผนการปรับปรุงครั้งนี้ จะย้ายเที่ยวบินภายในประเทศไปใช้อาคารผู้โดยสารหลังเดิม ต่างกับดอนเมือง ที่ย้ายผู้ดดยสารในประเทศไปอาคารหลังใหม่ที่ปรับปรุง
สำหรับแผนการปรับปรุงสนามบินครั้งนี้ จะเข้ามาสอดรับกับแผนแม่บทด้านการท่องเที่ยวของเมียนมา ที่ตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้เดินทางเข้ามาจำนวน 7.5 ล้านคน ในปี 2563
นอกจากที่ย่างกุ้งแล้ว เมียนมายังเดินหน้าพัฒนาสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ หรือสนามบินหันธาวดี ที่เมืองพะโค ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณเกือบ 5 หมื่นล้านบาท โดยมีแผนจะให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 เพื่อรองรับผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้ามา 12 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะดำเนินการก่อสร้างโดย 3 บริษัท 2 สัญชาติ คือ บริษัท สิงคโปร์ ยองนัม โฮลดิ้งส์ บริษัท ชางงี แอร์พอร์ต แพลนเนอร์สและเอ็นจิเนียร์ส และเจแปนส์ เจจีซี คอร์ปอเรชั่น
เมื่อแล้วเสร็จ สนามบินหันธาวดี ที่อยู่ขึ้นไปทางเหนือของย่างกุ้งห่างไป 67 กิโลเมตร จะเป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่ 4 ของเมียนมา ต่อจากสนามบินย่างกุ้ง เนย์ปิดอว์ และมัณฑะเลย์ และจะกลายมาเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในเมียนมา
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระธาตุอินทร์แขวน หรือ ไจทีโย , Kyaikhtiyo ในภาษามอญ หมายความว่า หินรูปหัวฤๅษี พระธาตุอินทร์แขวนตั้งอยู่ที่เมืองไจโท (Kyaikto) อำเภอสะเทิม เขตรัฐมอญของประเทศพม่า บนยอดเขาพวงลวง เหนือระดับน้ำทะเล 3,615 ฟุต ลักษณะเด่นของพระธาตุอินทร์แขวนคือ มีลักษณะเป็นก้อนหินสีทองขนาดใหญ่สูง 5.5 เมตร ตั้งอยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างหมิ่นเหม่ เหมือนจะหล่นและท้าทายแรงดึงดูดของโลกโดยไม่ตกลงมาอย่างเหลือเชื่อ พระธาตุอินทร์แขวนนับเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพม่าต้องไปสักการะ และยังเป็นพระธาตุประจำปีจอ ที่คนเกิดปีนี้ต้องไปนมัสการสักครั้งหนึ่งในชีวิต
เจดีย์ชเวมอดอ ( เจดีย์พระธาตุมุเตา ) คือ เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญของเมืองหงสาวดี เป็นมหาเจดีย์เก่าแก่ยาวนานกว่า 2,000 ปี พม่าเรียกพระธาตุมุเตาว่า ‘ชเวมอดอ’ หมายถึง มหาเจดีย์พระเจ้าทองคำ
เป็นเจดีย์ 1 ใน 5 ของเจดีย์ชื่อดังและมีความยิ่งใหญ่ที่สุดในพม่า ผู้คนจึงแวะเวียนไปสักการบูชาอย่างไม่ขาดสายเพื่อ เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจได้เป็นอย่างดีด้วยปัจจุบันที่ประเทศกำลังเป็น แบบนี้เลยทำให้คนไทยส่วนใหญ่อยากที่จะเดินทางไปพม่ากันอย่างมากมาย และเชื่อแน่ๆว่าหากเราเดินทางไปพม่านอกจากจะได้เห็นในส่วนของความสวยงามของ องค์พระธาตุแล้วยังได้เห็นความสวยงามทางด้านจิตใจของคนพม่าอีกด้วยเพราะคน พม่าส่วนใหญ่แล้วยามว่างจากการทำงานเค้าก็จะไปนั่งสมาธิยังวัดต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่ตัวคนเดินทางเองเห็นแล้วอดทีจะประทับใจไม่ได้ เพราะหากเป็นเมืองไทยเองคนที่จะเข้าวัดนั่งสมาธินั้นต้องเป็นคนแก่วัยเกษียณ แต่ในทางกลับกันที่พม่าเรากลับมองเห็นทั้งวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่นั่งสมาธิกัน อยู่ทุกมุมที่สงบภายในวัด
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ (: Shwemawdaw Paya, พม่า: ) เป็นพระมหาธาตุเจดีย์สำคัญที่อยู่ในเมืองพะโค (หงสาวดี) เป็นเจดีย์โบราณที่ก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยมอญเรืองอำนาจ มีการบูรณะและต่อเติมอีกหลายครั้ง ภายในเจดีย์บรรจุพระเขี้ยวแก้วไว้ตั้งแต่สมัยพระเจ้าราชาธิราช และต่อมาในสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ได้โปรดให้มีการหล่อระฆังจารึกไว้ที่ฐาน
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ มีชื่อเรียกในภาษามอญและคนไทยก็คุ้นเคยกับชื่อนี้คือ พระธาตุมุเตา แปลว่า "จมูกร้อน" ทั้งนี้เพราะกล่าวกันว่าพระมหาธาตุองค์นี้สูงมาก จนต้องแหงนหน้ามองต้องกับแสงแดด ทั้งนี้เนื่องจากพระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอนั้นเป็นเจดีย์ที่มีความสูงที่สุดในพม่า
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ใช้เป็นที่ทำพระราชพิธีเจาะพระกรรณของพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้เมื่อครั้งพระองค์ขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ ภายใต้วงล้อมของทหารมอญหลายหมื่นนายที่เป็นศัตรู แต่ก็ไม่อาจทำอะไรพระองค์ได้ [1]เมื่อพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้สามารถยึดพะโคเป็นราชธานีแห่งใหม่ได้สำเร็จ ในรัชกาลต่อมา คือ พระเจ้าบุเรงนองได้มีการสร้างฉัตรถวายเพิ่มเติมอีกหลายชั้น จนพระมหาธาตุสูงขึ้นอีกหลายเท่า และทรงถอดมณีที่ประดับยอดมงกุฎของพระองค์ถวายเป็นพุทธบูชาสูงสุด อีกทั้งกล่าวกันว่าก่อนที่พระองค์จะออกทำศึกคราใด จะทรงมานมัสการพระมหาธาตุนี้ก่อนทุกครั้ง ซึ่งในปัจจุบันจุดที่เชื่อว่าพระองค์ทำการสักการะก็ยังปรากฏอยู่ และสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อครั้งยกทัพมาตีพะโคก็ได้เสด็จมานมัสการด้วย
เจดีย์ไจ๊ปุ่น เจดีย์พระสี่ทิศแห่งหงสาวดี
ชื่อของเมืองหงสาวดีคงเป็นชื่อที่คุ้นหูคนไทยอยู่เป็นอย่างดี เพราะมีปรากฏอยู่ตามหน้าหนังสือเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทยบ่อยครั้งและภาพยนตร์แนวย้อนยุคหลายเรื่อง ส่วนปัจจุบันหากเอ่ยถึงกรุงหงสาวดีหลายคนคงจะนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวเป็นแน่ เพราะหลังๆ มานี้คนไทยเรานิยมเดินทางไปเที่ยวพม่ากันมากขึ้น และเมืองหงสาวดีก็ได้กลายเป็นหนึ่งในเมืองยอดฮิตของพม่าที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปกันค่ะ ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองหงสาวดีนั้นก็มีอยู่หลายแห่ง แต่หนึ่งในสถานที่น่าสนใจและอยากแนะนำให้รู้จักกันก็คือ เจดีย์ไจ๊ปุ่นนั่นเอง
“เจดีย์ไจ๊ปุ่น” (Kyaikpun Pagoda) เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เป็นไฮไลท์แห่งเมืองหงสาวดี เมืองท่องเที่ยวยอดฮิตของประเทศพม่า หากใครเห็นว่าชื่อเจดีย์แห่งนี้อ่านยากไปเสียหน่อยก็ต้องบอกเลยว่าคนไทยส่วนใหญ่จะรู้จักเจดีย์แห่งนี้กันในชื่อ “วัดพระสี่ทิศ” นั่นเองค่ะ ซึ่งที่นี่เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวมักมาเยือนกันด้วยรูปลักษณ์ที่ค่อนข้างแปลกไปจากเจดีย์ทั่วๆ ไป เพราะมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์ นั่งหันไปทางทิศทั้ง 4 เป็นฐานของเจดีย์ โดยพระพุทธรูปแต่ละองค์นั้นมีพระพักตร์ที่ไม่เหมือนกัน
ทั้งนี้ตามตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่าเจดีย์ไจ๊ปุ่นนั้นถูกสร้างขึ้นจากความคิดของ 4 พระราชธิดาของกษัตริย์มอญโบราณ ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก และได้ก่อสร้างพระพุทธรูปทั้ง 4 ขึ้น พร้อมทั้งตั้งปณิธานว่าจะอุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาและจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศแต่อย่างใด ทว่าท้ายที่สุดพระราชธิดาองค์เล็กสุดกลับได้พบรักกับชายหนุ่มและแต่งงานไป เป็นเหตุให้ผิดคำสัญญาจึงเกิดฟ้าผ่าเข้าที่พระพุทธรูปองค์หนึ่งจนพังเสียหายลง และได้มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ซึ่งมีใบหน้าเศร้าหมองกว่าพระพุทธรูปองค์อื่นๆ
ส่วนเรื่องราวตามประวัติศาสตร์จริงๆ ไม่อิงตำนานนั้นถูกระบุว่าเจดีย์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 7 โดยกษัตริย์มอญ โดยสาเหตุที่เลือกสร้างและออกแบบพระพุทธรูปไว้โดยไม่มีอาคารบังให้ร่มเงา ก็เพื่อให้พระพุทธรูปดูโดดเด่นและมองเห็นได้จากที่ไกลๆ เป็นการประกาศศักดาและสร้างชื่อเสียงแก่ตัววัด ส่วนรูปแบบขององค์พระพุทธรูปนั้นใช้ศิลปะแบบมอญที่มีความอ่อนช้อยและใบหน้าที่ค่อนข้างอวบอิ่มแตกต่างจากศิลปะการสร้างพระพุทธรูปแบบไทยอยู่บ้าง
เที่ยวเจดีย์โบตะทาว , เทพทันใจ และ เทพกระซิบ ในประเทศพม่า
เจดีย์โบตะตาว หรือ เจดีย์โบตาทาวน์ (แล้วแต่คนเรียกกัน) เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของทัวร์ไทยที่เที่ยวพม่าเลยทีเดียว ส่วนเหตุผลว่าทำไมเจดีย์โบตะตาวนี้ถึงเป็นสถานที่ยอดนิยมนั้นก็คือ เพราะเป็นที่ประดิษฐานของเทพทันใจ ที่คนไทยหลายคนนั้นศรัทธาเพื่อ ขอพรความเป็นสิริมงคลนั้นเอง ตอนนี้เรามาทำความรู้จักกับที่เที่ยวเจดีย์โฐตะตาวและ เทพทันใจกันสักหน่อยดีกว่า
เจดีย์โบตะตาว (Botahtaung Pagoda) หมายถึง “ทหาร 1,000 นาย” โดยมีความเชื่อเล่ากันมาต่อๆ กันว่าเมื่อประมาณสองพันปีที่แล้ว พระเจ้าโอกะลาปะกษัตริย์มอญ ได้ให้ทหาร 1,000 นาย ตั้งแถวถวายความเคารพพระเกศาธาตุ (สารีริกธาตุ)ที่อันเชิญมาจากอินเดียเพื่อนำไปบรรจุไว้ที่ มหาเจดีย์ชเวดากอง และทรงบรรจุเส้นพระเกศาธาตุไว้ 1 เส้น ในเจดีย์นี้ วันเวลาผ่านไป ได้มีการบูรณะซ่อมแซมเจดีย์ผลจากความเสียกายในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งปรากฎว่าไปพบของมีค่าหลายอย่างภายในเจดีย์ จึงสร้างโครงสร้างใหม่โดยให้ฐานเจดีย์มีช่องซิกแซกคล้ายเขาวงกต ภายในสีทองอร่ามสวยงาม และนำวัตถุโบราณจัดแสดง อีกทั้งนำพระเกศาธาตุมาบรรจุในมณฑปครอบแก้วใสใจกลางเจดีย์อีกด้วย
แต่สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยคงหนีไม่พ้น เทพทันใจ หรือ นัตโบโบยี ซึ่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำด้านข้างของเจดีย์โบตะตาวนั้นเอง ซึ่งชาวพม่ามีความเชื่อกันว่าไม่ว่าจะสร้างเจดีย์ใดๆ ที่ไหนก็ตาม จักต้องมีเทพคอยคุ้มครองดูแลเจดีย์ และแน่นอน เทพทันใจนี้ เป็นเทพที่คุ้มครองเจดีย์โบตะตาว นั้นเอง ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก เพราะจะทำให้สมปรารถนารวดเร็วทันใจ สมกับคำ เทพทันใจ นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น